หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ บริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PROS เป็นอีกหุ้นที่วางการเติบโตแบบ Growth Stock ทำธุรกิจรับเหมางานติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร นำโดยการบริหารของแม่ทัพใหญ่ “พงศ์เทพ รัตนแสงสรวง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กำลังเดินหน้านำบริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 27 เมษายนนี้ ชูความโดดเด่นมีผลงานเป็นที่ยอมรับจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งมีศักยภาพในการรับงานรับเหมา และมีการปรับตัวทางธุรกิจกระจายไปในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้ผลประกอบการในปี 2563 ที่ผ่านมา ยังคงความสามารถการทำกำไรให้เติบโตในระดับมากกว่า 80% และงานในมือที่รอรับรู้รายได้เฉียด 2,000 ล้านบาท อยู่ในระดับสูงกว่าอดีตที่ผ่านมา
เรียกได้ว่า แม้เป็นหุ้นขนาดเล็กที่เข้ามาระดมทุนในช่วงนี้ ซึ่งมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ผู้บริหารมั่นใจศักยภาพของ PROS มีความแข็งแกร่ง และแผนการโตที่ชัดเจน จะสามารถใช้ผลงานพิสูจน์ฝีมือให้นักลงทุนเชื่อมั่นในช่วงต่อจากนี้ได้อย่างแน่นอน โดยบริษัทเคาะราคาไอพีโอ 2 บาท ขณะที่ผู้บริหารย้ำความมั่นใจ ขอกอดหุ้นในมือไว้แน่น ไม่ขาย สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สรุปข้อมูลที่สำคัญ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน
1. หนึ่งในผู้นำธุรกิจรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร
PROS เป็นหนึ่งในผู้นำด้านงานรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารของประเทศรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงานมาอย่างยาวนาน โดยตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ การดูแลและเอาใจใส่ลูกค้าแต่ละโครงการอย่างใกล้ชิด การตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลากหลาย ตลอดจนการส่งมอบงานที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพภายในระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด ด้วยราคายุติธรรม โดยทีมผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของโครงการให้ดำเนินงานติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยฐานลูกค้าหลักของบริษัทกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิเช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารชุดพักอาศัย ศูนย์กระจายสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้น 71.80% ในบริษัท พรอสเพอร์ ไทธรรม์ จำกัด ซึ่งให้บริการงานโครงสร้างและสถาปัตยกรรมครบวงจร ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักอยู่ในโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
2. ขายไอพีโอ 140 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93%
เสนอขายหุ้นไอพีโอ 140 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
3. เคาะราคาไอพีโอ 2 บาท
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้ เสนอขายหุ้นละ 2 บาท โดยราคาดังกล่าวคิดเป็น P/E 22 เท่า เทียบกับบริษัทที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกันซึ่งมี P/E ประมาณ 40 เท่า โดย P/E ดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการในอดีต โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคตจาก งานในมือที่มีมูลค่าสูงเฉียด 2,000 ล้านบาท และยังไม่ได้รวมโอกาสในการเข้าประมูลงานเพิ่มเติมระหว่างปีตามการเติบโตของอุตสาหกรรม ได้แก่
(1) การลงทุนในโครงการของภาครัฐ เพื่อผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงการขนส่งทางบกทางอากาศและทางทะเลอย่างครบวงจร ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจค้าปลีกและก่อสร้าง
(2) การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของผู้ประกอบการ ทั้งประเภทศูนย์การค้าและร้านค้าปลีกรายใหญ่
(3) การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และ (4) อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่อาจดีขึ้น จากความประหยัดต่อขนาดรายได้ตามการเพิ่มขึ้นของฐานรายได้จากงานโครงการ ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญสนับสนุนการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง
โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักรัพย์ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการเข้าไปทำโครงการได้ขนาดใหญ่ขึ้นและต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้น
PRSO เข้าซื้อขายใน : ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 27 เมษายน 2564
หมวดธุรกิจ : กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด
ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย : บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย : บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด
4. มีนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น
5. นำเงินระดมทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่อยอดธุรกิจ
เงินที่ระดมทุนได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ก่อนหักค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ประมาณ 280 ล้านบาท บริษัทฯ มีแผนลงทุนดังนี้
(1) คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 30 ล้านบาท สำหรับลงทุนในเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างเพิ่มเติม ภายในปี 2564 – ปี 2565 ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทในการเข้ารับงานโครงการจากหน่วยงานราชการ และเอกชนมากขึ้น
(2) เงินส่วนที่เหลือประมาณ 250 ล้านบาท บริษัทฯ มีแผนที่จะใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายความสามารถในการเข้าประมูลงาน ภายในปี 2564 – 2565 โดยบริษัทคาดว่าภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนแล้วเสร็จจะช่วยขยายความสามารถในการรับงานของบริษัทให้เพิ่มขึ้นได้
6. จุดเด่นและฐานะการเงินแข็งแกร่ง
(1) กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และทีมผู้บริหารมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงานมาอย่างยาวนานกว่า 24 ปี ในการให้บริการรับเหมางานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารครบวงจร
(2) มีผลงานเป็นที่ยอมรับจากผู้ประกอบการมีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม เช่น Tesco Lotus , AP, Thai oil และกลุ่มปตท. ส่งผลให้ได้รับงานจากลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง แ
(3) มีศักยภาพในการรับเหมากลุ่มห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก มีประสบการณ์ และการแข่งขันด้านราคา ในขณะที่ยังคงอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับสูง
(4) มีความสามารถในการปรับตัวทางธุรกิจ กระจายไปยังกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เพื่อให้คงความสามารถในการทำรายได้และกำไรต่อเนื่อง โดยเฉพาะความสำเร็จในการกระจายไปสู่งานภาครัฐได้เพิ่มขึ้น
(5) หลังเข้ามาระดมทุน สนับสนุนให้ PROS ให้มีศักยภาพในการรับงานโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จึงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
โดยที่ผ่านมาในปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท เติบโตกว่า 86.66% จากปี 2562 แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีศักยภาพในการปรับตัวทางธุรกิจให้มีกำไรต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา และแม้ในสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯ ยังสามารถทำกำไรได้เติบโตโดดเด่น โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรมาโดยตลอด
7. หลังไอพีโอ กลุ่มครอบครัวรัตนแสงสรวง ยังถือหุ้นใหญ่ 34.81%
8. การขยายฐานลูกค้า หนุน Backlog แข็งแกร่งที่ 2,000 ล้านบาท
ณ วันที่ 15 มีนาคม 2564 บริษัทฯ เตรียมเข้าร่วมประมูลงาน และมีโครงการที่อยู่ระหว่างประมูลงาน กระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิเช่น อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า และ Data Center รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 17 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,694 ล้านบาท
โดยในโครงการที่บริษัทเข้าร่วมประมูลดังกล่าวข้างต้น บริษัทเป็นผู้ชนะการประมูลหรือได้รับหนังสือแสดงเจตจำนงการว่าจ้างแล้วจำนวน 7 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,229.48 ล้านบาท และมีงานในมือที่ถูกเลื่อนมาจากปีที่แล้วอีกจำนวน 768.31ล้านบาท ดังนั้น ผ่านไปแค่ประมาณ 3 – 4 เดือน ในปี 2564 บริษัทฯ มีงานในมือในมือรวมอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา และคาดจะรับรู้ในปีนี้ราว 60 – 70% ของงานในมือในปัจจุบัน สะท้อนการปรับกลยุทธ์การตลาดสำเร็จ และการขยายงานไปยังภาครัฐบาล ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 โครงการของภาครัฐที่กำลังเดินหน้าอยู่ ได้แก่ งานกลุ่มโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย
ด้านการเติบโตในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2564 - 2566) วางเป้าหมายรายได้เติบโตสม่ำเสมอประมาณ 10-20% ต่อปี ด้านอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 6-7% ทั้งนี้บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานภาครัฐเพิ่มมากขึ้นโดยปีนี้คาดหวังสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 20-30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย และในอนาคตตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากงานภาครัฐไม่เกิน 50%
9. นโยบายการถือหุ้นของผู้บริหาร สัดส่วนการติดไซเรนท์ พีเรียด
กลุ่มครอบครัวรัตนแสงสรวง และผู้ถือหุ้นใหญ่อีก 3 ราย ซึ่งร่วมก่อตั้งบริษัทมาด้วยกัน โดยถือหุ้นเกิน 50% ติดไซเรนท์พีเรียด และไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้นออกไป โดยผู้ถือรายใหญ่ทั้งหมดให้ความมั่นใจนำหุ้นส่วนที่เหลือจากที่ติด Silent มาติด Lock Up ทั้งหมด
**********************************************************************************