KOOL บวกสวนตลาดฯ เช้านี้ รับไฮซีซั่นหน้าร้อนทั้งในไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดหลัก โบรกฯ คาดงบ Q1/60 พลิกมีกำไรในรอบ 2 ไตรมาส และจะพีคสุดใน Q2/60 แต่เคาะเป้าคนละขั้วในช่วง 6.20-8.20 บ. การเข้าลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบ
บมจ.มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล ( KOOL) ราคาบวกแรงสวนภาพรวมดัชนีฯ ที่เปิดลบ พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น โดยราคาหุ้นเปิดที่ 6.55 บาท ก่อนขึ้นแตะ 6.80 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 6% เป็นการเด้งขึ้นครั้งแรกหลังอ่อนตัวลงต่อเนื่องมา 4 วันทำการ ก่อนปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 6.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 3.13% มูลค่าการซื้อขาย 65.82 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 ในตลาด mai ขณะที่ดัชนี mai ปิดการซื้อขายภาคเช้าลดลง 9 จุด อยู่ที่ 577.97 จุด
KOOL ทำธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้าหลัก MASTERKOOL นอกจากนี้ ยังให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ออกแบบ และติดตั้งระบบระบายความร้อน และระบบโอโซน
ผลการดำเนินงานของ KOOL มีกำไรสุทธิ 31.40 ล้านบาท ในปี 57 ก่อนเข้าเทรดในตลาด mai เมื่อเดือน ก.ย.ปี 58 ซึ่งในปีนั้นกำไรสุทธิทรุดฮวบลงเหลือเพียง 8 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการนำเข้าสินค้า โดยสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศและชำระค่าสินค้าเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งในช่วงนั้นดอลลาร์แข็งค่า ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายในการจัดโปรโมชั่นเพื่อขายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด และค่าใช้จ่ายการตลาดเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์
สอดคล้องกับราคาหุ้น KOOL ที่ร่วงแตะระดับต่ำสุดที่ 1.06 บาทในช่วงต้นปี 59 หลังประกาศงบ ก่อนฟื้นตัวต่อเนื่องทำนิวไฮที่ 8.45 บาท เมื่อต้นปีนี้ ตอบรับกำไรปี 59 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 87 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นถึง 983% YoYเป็นผลจากการเติบโตของยอดขายในทุกช่องทาง และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลยอดขายโต 49.64% ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ในอัตราเล็กน้อยเพียง 3.15% YoY ส่งผลให้ปี59 มีอัตรากำไรสุทธิ 9.78% สูงกว่างวดเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.35%
สัญญาณหุ้น KOOL ที่มีแรงซื้อเข้ามาอีกครั้ง เป็นแรงเก็งกำไรในช่วงหน้าร้อนซึ่งถือเป็นไฮซีซั่น ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้ นักวิเคราะห์มองที่ระดับ 118-130 ล้านบาท แต่ประเด็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตาม คือ คู่แข่งรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดได้ง่ายอาจทำให้ความสามารถการทำกำไรลดลง
ดังที่ บล.เคทีบี กังวลเรื่องนี้จึงได้ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ลงจากเดิมราว 16% เป็น 118 ล้านบาท หรือเติบโต 36% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาดพัดลมไอเย็นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่า KOOL จะเร่งผลักดันตลาดส่งออกมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดในไทย แนะขาย จากเดิมซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
ขณะที่ บล.ไอร่า คาดว่า KOOL จะพลิกกลับมาทำกำไรในไตรมาส 1/60 จากที่ขาดทุนในไตรมาส 3 และ 4 ปี 59
ที่ 4.17 ล้านบาท และ 10.80 ล้านบาท ตามลำดับ และจะดีสุดในไตรมาส 2/60 ซึ่งเป็นหน้าร้อนและเป็นไฮซีซั่นของบริษัทฯ โดยดีลเลอร์จะสั่งซื้อสินพดลมไอเย็นล่วงหน้า หรือประมาณเดือน ม.ค.-ก.พ. เพื่อสต็อกสินค้าไว้ขายหน้าร้อนในช่วง Q2 ซึ่งเป็นฤดูร้อนทั้งไตรมาส
ปัจจุบัน KOOL มีการเพิ่มช่องทางการขายผ่าน Modern trade มาอยู่ที่ 520 สาขา ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วกว่า 1 เท่าตัว ประเด็นหลักๆ มาจากการขยายตลาดเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี และเทสโก้โลตัส ได้สำเร็จ และอีกช่องทางคือการส่งออกซึ่งเติบโตดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตลาด CLMV ประเมินกำไรสุทธิปีนี้ 130 ล้านบาท ราคาเหมาะสม 8.20 บาท อิง P/E 30 เท่า
ด้านผู้บริหาร KOOL มั่นใจว่างวด Q2/60 ผลประกอบการจะเติบโตได้ดี YoY โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 40% จากปีก่อน ผลจากขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด และตั้งเป้ารายได้รวมแตะ 3,000 ล้านบาทในปี 63
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า นักวิเคราะห์ให้ราคาเหมาะสม KOOL แตกต่างกันต่ำสุดที่ 6.20 บาท สูงสุดที่ 8.20 บาท การเข้าลงทุนจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงคือ การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดพัดลมไอเย็น และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เคยฉุดกำไรสุทธิของ KOOL ให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อปี 58